วันอาทิตย์ที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556





     ประโยชน์ของน้ำองุ่น


นักวิจัยจาก มหาวิทยาลยซินวเนติ สหรัฐฯ ได้ทำการทดลองผู้ที่ดื่มน้ำองุ่น เป็นประจำนั้นพบว่า การดื่ม

น้ำองุ่นนั้นจะช่วยให้ผู้ดื่มนั้นมีความทรงจำที่ดีขึ้น โดยสามารถเรียนรู้การจดจำคำและความทรงจำใน

ช่วงระยะเวลาสั้นๆ ได้ดียิ่งขึ้น ดังนั้น การดื่มน้ำองุ่นเป็นประจำจะช่วยให้เรามีความทรงจำที่ดีขึ้น ผู้หญิง

คนไหนมีปัญหาเกี่ยวกับความทรงจำลองหาน้ำองุ่นมากินดูสิค่ะ

 นอกจากนั้นน้ำองุ่นยังช่วยในการบำรุงโลหิตและแก้ไอ รักษาอาการเหงื่อออกมากผิดปกติและขับ

ปัสสาวะได้อย่างดี อีกทั้งยังช่วยบำรุงผิวพรรณอีกด้วย





ประโยชน์ของทุเรียน

เนื้อทุเรียน - รสหวานร้อน ทำให้เกิดความร้อน แก้โรคผิวหนัง ทำให้ฝี-หนอง แห้ง เนื้อทุเรียนมีฤทธิ์ขับพยาธิ  
เปลือกหนามทุเรียน - รสเฝื่อน นำมาสับแช่ในน้ำปูนใสใช้ชะล้างแผลที่เกิดจากน้ำเหลืองเสีย แผลพุพอง หรือนำมาเผาทำถ่าน บดจนเป็นผง คลุกในน้ำมันมะพร้าว หรือน้ำมันงา ลดความบวมพองจากคางทูม และเผาเอาควันไล่ยุงและแมลง  
ใบทุเรียน - รสเย็นและเฝื่อน ใช้ต้มน้ำอาบแก้ไข้ แก้ดีซ่านและเป็นส่วนผสมในยาขับพยาธิ  
รากจากต้นทุเรียน – ตัดเป็นข้อ ๆ ต้มให้เดือด ดื่มบรรเทาอาการไข้และรักษาอาการท้องร่วง

วันอาทิตย์ที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556




ภัยเงียบจาก...ชาเขียว



ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับชาเขียว
หากพูดถึงเรื่อง เครื่องดื่มเพื่อสุขภาพแล้วละก็ แน่นอนว่า เครื่องดื่มที่กำลัง เป็นขวัญใจใครหลายๆ คน คงจะหนีไม่พ้น "ชาเขียว” เครื่องดื่มทางวัฒนธรรมจากแดน มังกรและแดนปลาดิบ ที่สามารถเข้าไปตีตลาดนอกบ้านได้อย่างสบาย ด้วยรูปแบบการ โฆษณาที่แปลกใหม่ และคุณค่าของผลิตภัณฑ์ที่มีอยู่มากมาย
อย่างไรก็ตาม แม้ว่า ประโยชน์ของชาเขียวจะมีมหาศาล จนถูกนำไปแปรรูป หรือ เป็นส่วนผสมในผลิตภัณฑ์อื่นๆ อย่างมากมาย ไม่ว่าจะเป็น ผ้าอนามัย ยาสีฟัน ยาสระผม แป้ง สบู่ ผลิตภัณฑ์ถนอมผิว บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป รวมทั้งขนม หรือ ไอศครีม ทว่า ชาเขียว ก็เหมือนกับอาหาร และ เครื่องดื่มประเภทอื่น ๆ ที่หากรับเข้าไปในปริมาณ ที่เกินจำกัด ก็อาจจะส่งผลร้าย และกลายเป็นภัยเงียบต่อร่างกายของเราก็ได้

ผลเสียข้างเคียงจากการดื่มชาเขียว
ทราบหรือไม่ว่า ใบชาเขียวแต่ละใบจะมีสารสำคัญอยู่ 2 ชนิด คือ คาเฟอีน (caffein) และ แทนนิน (Tannin) ในส่วนของคาเฟอีนนั้น มีอยู่ในชาเขียวร้อยละ 2.5 โดยน้ำหนัก ซึ่งชาเขียว 1 ถ้วย (ประมาณ 6 ออนซ์) จะมีคาเฟอีน 10-50 มิลลิกรัม และในการชงชา 3 นาทีแรก พบว่า มีปริมาณคาเฟอีนสูง กว่าปกติเป็น 30-60 มิลลิกรัม ต่อชาเขียว 1 ถ้วย โดยคาเฟอีน มีคุณสมบัติ ในการกระตุ้นระบบประสาท เพิ่มการเผาผลาญ เพิ่มการกระตุ้นของหัวใจและไต ทำให้นอนไม่หลับ จึงไม่เหมาะสำหรับเด็ก และผู้ป่วยที่เป็นโรคหัวใจ เพราะการดื่มชา เข้าไปเท่ากับว่า ยิ่งไปกระตุ้นให้เกิดการบีบหัวใจมากขึ้น
สารชนิดที่ 2 ของชาเขียว คือ แทนนิน หรือ ฝาดชา (Tea Tannin) ซึ่งเป็นสาร ที่ช่วย บรรเทาอาการท้องเสีย แต่ถ้าคนปกติ ดื่มชาในปริมาณเข้มข้น มากเกินไป จะทำให้ท้องผูกได้
ในชาเขียวแบบชง กับชาเขียวแบบพร้อมดื่ม ก็มีประโยชน์ ที่มากน้อยแตกต่างกันไป โดยพบว่า ปริมาณสารที่ส่งผลต่อสุขภาพ ของชาเขียวพร้อมดื่ม นั้นมีน้อยกว่า และมีปริมาณ ความเข้มข้นต่ำ เจือจางกว่า และยังเติมน้ำตาล ซึ่งเท่ากับว่า เป็นการเพิ่มแคลอรี อย่างไม่จำเป็น
ประโยชน์ของส้ม 




   ไม่ ใช่เพียงแค่ "ส้ม" แต่คือ "ผลไม้ตระกูลส้ม" (Citrus) ซึ่งหมายถึงผลไม้อื่น ๆ อีกหลายชนิด เช่น มะนาว เลมอน มะกรูด ส้มโอ เกรปฟรุต ฯลฯ มาดูประโยชน์ที่เราอาจจะไม่เคยรู้มาก่อน

      บำรุงผิว
         ส้มเป็นผลไม้นางเอก เพราะพืชผลในครอบครัวส้มจะมีสารไฟโตนิวเทรียนต์มากมาย ที่ทำหน้าที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ รวมถึงสารกลุ่มฟลาวาโนนส์ สารแอนโธไชยานินส์ สารโพลีฟีนอลส์ และวิตามินซี ที่ช่วยทำให้ผิวสวยกระจ่างใสค่ะ

      เสริมสร้างกระดูก
         เชื่อหรือไม่ว่าน้ำส้มสามารถให้แคลเซียม และวิตามินดีแก่ร่างกายได้ดีพอ ๆ กับนม และแคลเซียมจะไปเสริมสร้างกระดูก แต่ถ้าไม่มีวิตามินดี ร่างกายจะไม่สามารถดูดซึมแคลเซียมจากอาหารได้ นอกจากนี้ น้ำส้มยังมีวิตามินซี ซึ่งจะช่วยเพิ่มกระบวนการดังกล่าวอีกด้วย แต่จำไว้ว่า กรดอะซีติกในผลไม้จำพวกนี้อาจทำลายสารเคลือบฟันได้ จึงไม่ควรแปรงฟันภายในหนึ่งชั่วโมงหลังจากดื่มน้ำผลไม้

      ปกป้องหัวใจ
        เปลือกของผลไม้ตระกูลส้มมีสารมหัศจรรย์อยู่มากมาย และหนึ่งในนั้นคือการ Polymethoxylated Flavones (PMFs) และสาร D-Limonene ซึ่งจะช่วยลดคอเลสเตอรอล ปรับระดับน้ำตาลในเลือด และกระตุ้นการกรองสารพิษของตับ นอกจากนี้ การศึกษายังชี้ว่า เม็ดสีในส้มเขียวหวานจะช่วยลดคอเลสเตอรอลชนิดเลว (LDL) โดยไม่ส่งผลต่อคอเลสเตอรอลชนิดดี (HDL) แล้วก็อย่าเอ็ดไปนะคะ ความจริงแล้วเปลือกส้มอาจลดคอเลสเตอรอลได้ดีกว่ายาปฏิชีวนะบางตัว ที่ขายกันตามท้องตลาดเสียอีก

      ขับง่ายถ่ายคล่อง
        ตำรับจีนมักจะเสิร์ฟเปลือกส้มคู่กับอาหาร เนื้อสัตว์ เพื่อย่อยอาหารที่มีไขมันสูง บางตำราแนะนำให้เริ่มวันใหม่ด้วยน้ำเลมอน 12 ออนซ์ ผสมกับน้ำกรองแล้วที่อุณหภูมิปกติ จะช่วยชะล้างของเสียในระบบย่อยอาหารและลำไส้ได้ เพราะมีฤทธิ์เป็นกรดอ่อน ๆ

      ดูแลสายตา
         ผลไม้ตระกูลส้มอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งจะช่วยปกป้องแก้วตาจากโรคต้อกระจก และการศึกษายังพบว่าการบริโภควิตามินอีและซีในปริมาณมาก จะช่วยป้องกันโรคต้อกระจกได้ แม้แต่ในกลุ่มผู้ที่มีความเสี่ยงเป็นโรคนี้สูง

      อารมณ์ดี๊-ดี
        จะทานก็ได้ จะดมก็ดี เพราะส้มมีสารโฟเลต ซึ่งจะช่วยให้สมองหลั่งฮอร์โมนซีโรโทนิน อันเป็นสารแห่งความสุข กลิ่นของผลไม้ครอบครัวนี้ก็สามารถทำให้เราเบิกบานได้เช่นกัน ลองแต้มน้ำมันหอมที่สกัดจากผลไม้เหล่านี้บริเวณท้ายทอยสิคะ รับรองสดชื่นแน่นอน

วันอาทิตย์ที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2556

พีระมิด เมืองกิซ่า ประเทศอียิปต์



 พีระมิด เมืองกิซ่า ประเทศอียิปต์


    พีระมิด ในประเทศอียิปต์เป็นสิ่งก่อสร้างของชาวอียิปต์โบราณสมัยก่อนยุคเหล็ก โดยเฉพาะ พีระมิดคูฟู ใน หมู่พีระมิดแห่งกิซ่า นับเป็นสิ่งก่อสร้าง ขนาดใหญ่ที่สุด ที่มนุษย์เคยสร้างขึ้นมา ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความก้าวหน้าทางวิทยาการ ที่น่าอัศจรรย์ของอียิปต์โบราณ


   หมู่พีระมิดแห่งกิซ่า (Giza Pyramid Complex)
พีระมิด (Pyramid) ใน ประเทศอียิปต์ มีมากมายหลายแห่งด้วยกัน แต่ที่มีชื่อเสียงที่สุดจนอาจนับเป็นตัวแทนของพีระมิดอียิปต์ทั้งมวล ได้แก่ หมู่พีระมิดแห่งกิซ่า (Giza Pyramid Com plex) ( ซึ่งประกอบไปด้วย
พีระมิดคูฟู (Khufu) หรือ คีออปส์ หรือ มหาพีระมิดแห่งกิซ่า (The Great Pyramid of Giza) ซึ่งเป็นหนึ่งเดียวในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลก ที่ยังคงเหลืออยู่ในปัจจุบัน มีขนาดใหญ่ที่สุดและเก่าแก่ที่สุดในหมู่พีระมิดแห่งกิซ่า

คือพีระมิดที่ใหญ่โตและเก่าแก่ที่สุดในหมู่พีระมิดทั้งสามแห่งกิซ่า เชื่อว่าสร้างขึ้นในสมัยฟาโรห์คูฟู แห่งราชวงศ์ที่ 4 ของอียิปต์โบราณ ซึ่งปกครองอาณาจักรอียิปต์เมื่อประมาณ 2,600 ปีก่อนคริสตกาลหรือกว่า 4,600 ปีมาแล้ว พีระมิดคีออปส์ได้รับยกย่องให้เป็นหนึ่งใน เจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลก และเป็นหนึ่งเดียวในสิ่งมหัศจรรย์ที่ยังคงอยู่มาจนถึงปัจจุบัน



       ยอดพีระมิดคีออปส์เมื่อสร้างเสร็จสูง 147 เมตร (481 ฟุต หรือประมาณเท่ากับอาคารสูง 40 ชั้น เมื่อคิดความสูงที่ชั้นละ 3.6 เมตร) โดยที่ปัจจุบันส่วนยอดสึกกร่อนหายไปประมาณ 10 เมตร ยังคงเหลือความสูงประมาณ 137 เมตร นับจากก่อสร้างแล้วเสร็จพีระมิดคีออปส์นับเป็นสิ่งก่อสร้างสูงที่สุดในโลก เป็นเวลาต่อเนื่องยาวนานถึง 43 ศตวรรษรูปทรงของพีระมิดมีลักษณะเฉพาะตัว ฐานเป็นรูปสี่เหลี่ยมจตุรัส ประกอบด้วยด้านสามเหลี่ยม 4 ด้านยอดสามเหลี่ยมแต่ละด้านเอียงเข้าบรรจบกันเป็นยอดแหลม ฐานทั้ง 4 ด้านของพีระมิดคีออปส์กว้างด้านละประมาณ 230 เมตร (756 ฟุต กว้างกว่า สนามฟุตบอลต่อกัน 2 สนาม) คิดเป็นพื้นที่ฐานประมาณ 53,000 ตารางเมตรหรือประมาณ 33 ไร่ มีข้อสังเกตว่าแต่ละด้านของฐานพีระมิดมีความกว้างคลาดเคลื่อนจากกันเพียงไม่เกิน 8 นิ้ว ซึ่งถือว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับขนาดงานก่อสร้างและระดับเทคโนโลยีในขณะนั้นฐานล่างสุดของพีระมิดก่อขึ้นบนชั้นหินแข็งซึ่งอยู่ลึกลงไปใต้ชั้นทรายเพื่อป้องกันปัญหาการทรุดตัวของชั้นทรายซึ่งจะมีผลกับความคงทนแข็งแรงของโครงสร้างพีระมิด ผิวหน้าพีระมิดแต่ละด้านทำมุมเอียงประมาณ 52 องศา ซึ่งมีส่วนทำให้พีระมิดคงทนต่อการสึกกร่อนอันเนื่องมาจากพายุทราย สิ่งที่น่าสังเกตอย่างหนึ่งคือด้านทั้ง 4 ของพีระมิดหันออกในแนวทิศ เหนือ ใต้ ตะวันออก ตะวันตก ถูกต้องแม่นยำตามทิศจริงไม่ใช่กำหนดทิศด้วยเข็มทิศ และแสดงถึงความสามารถในการประยุกต์ตามที่มีข้อมูลปรากฏในแหล่งต่างๆ อ้างถึงจำนวนหินที่นำมาก่อสร้างพีระมิดคีออปส์ต่างๆ กันไปตั้งแต่ 2 ล้านถึง 2.6 ล้านก้อน ประมาณน้ำหนักเฉลี่ยก้อนละ 2.5 เมตริกตัน โดยจัดเรียงซ้อนกันขึ้นไปประมาณ 200 ชั้น คิดเป็นน้ำหนักรวมกว่า 6 ล้านเมตริกตัน [1] เปรียบเทียบกับอาคารคอนกรีตเสริมเหล็กอย่าง ตึกเอ็มไพร์สเตท (Empire State Building) อดีตตึกระฟ้าสูงที่สุดในโลกซึ่งมีน้ำหนักรวม 365,000 เมตริกตัน จะพบว่า พีระมิดคีออปส์ มีน้ำหนักมากกว่า ตึกเอ็มไพร์สเตท ถึงประมาณ 16 เท่าครึ่ง และเมื่อเปรียบเทียบกับ อาคารไทเป 101 (Taipei 101) อาคารสูงที่สุดในโลก ณ ปี ค.ศ. 2006 ซึ่งมีน้ำหนักรวม 700,000 เมตริกตัน พีระมิดคีออปส์ ยังคงมีน้ำหนักมากกว่า อาคารไทเป 101 ถึง 8 เท่าครึ่งความรู้ ทางดาราศาสตร์ของชาวอียิปต์โบราณ มาใช้กำหนดทิศทางได้เป็นอย่างดี

    พีระมิดคาเฟร (Khafre) ตั้งอยู่ตรงกลางของพีระมิดทั้ง 3 และสร้างอยู่บนพื้นที่สูง ทำให้ดูเหมือนมีขนาดใหญ่ที่สุด และมีบางคนเข้าใจผิดว่าพีระมิดคาเฟรคือมหาพีระมิดแห่งกิซ่า ทางทิศตะวันออกของพีระมิดคาเฟรมี มหาสฟิงซ์(The Great Sphinx of Giza) หินแกะสลักขนาดมหึมาที่มักปรากฎในภาพถ่ายคู่กับพีระมิดคาเฟร

     พีระมิดเมนคูเร (Menkaure) ขนาดเล็กที่สุดและเก่าแก่น้อยที่สุดในหมู่พีระมิดแห่งกิซ่า จากตำแหน่งการก่อสร้างทำให้คาดได้ว่า เดิมอาจตั้งใจสร้างให้มีขนาดใกล้เคียงพีระมิดคูฟู และพีระมิดคาเฟรแต่ในที่สุดก็สร้างในขนาดที่เล็กกว่า พีระมิดเมนคูเรมักปรากฎในภาพถ่ายพร้อมกับหมู่พีระมิดราชินีทั้ง 3 (The Three Queen's Pyramids)


พีระมิดทั้งสามสร้างเรียงต่อกันเป็นระยะทางกว่า 1 กิโลเมตร ทางทิศตะวันตกของกรุงไคโร เมืองหลวงของประเทศอียิปต์ในปัจจุบัน ด้วยโครงสร้างใหญ่โตและลักษณะรูปทรงเรขาคณิตเฉพาะตัว ทำให้สามารถสังเกตเห็นได้จากระยะไกล ทั้งนี้แม้แต่จากภาพถ่ายดาวเทียม




วันอาทิตย์ที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2556

สามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า (Bermuda Triangle)




      สามเหลี่ยมเบอร์มิวดา (อังกฤษBermuda Triangle) หรืออาจรู้จักกันในชื่อ สามเหลี่ยมปีศาจ (อังกฤษDevil's Triangle) เป็นพื้นที่สมมุติทางตะวันตกของมหาสมุทรแอตแลนติกเหนือ ซึ่งมีการอ้างว่าอากาศยานและเรือผิวน้ำจำนวนหนึ่งหายสาบสูญไปโดยหาสาเหตุมิได้ในบริเวณดังกล่าว วัฒนธรรมสมัยนิยมได้ให้เหตุผลของการหายสาบสูญว่าเป็นเรื่องของปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติหรือกิจกรรมของสิ่งมีชีวิตนอกโลก[1] หลักฐานซึ่งบันทึกไว้ได้ระบุว่า เหตุการณ์การหายสาบสูญของอากาศยานและเรือผิวน้ำส่วนใหญ่ได้รับรายงานอย่างไม่ถูกต้องหรือถูกเสริมแต่งโดยนักประพันธ์ในช่วงหลัง และหน่วยงานของรัฐหลายแห่งได้กล่าวว่า จำนวนและธรรมชาติของการหายสาบสูญไปในพื้นที่ดังกล่าวก็มีลักษณะเช่นเดียวกับการหายสาบสูญไปในมหาสมุทรส่วนอื่น ๆ ของโลก


        พืนที่ 

     สามเหลี่ยมเบอร์มิวดามีเนื้อที่ประมาณ 1.14 ล้านตารางกิโลเมตร (4.4 แสนตารางไมล์) อยู่ระหว่างจุด 3 จุด ได้แก่ เปอร์โตริโก ปลายสุดของรัฐฟลอริดาในสหรัฐอเมริกา และเกาะเบอร์มิวดา ซึ่งเป็นเกาะตั้งอยู่กลางมหาสมุทรแอตแลนติกและดินแดนในปกครองของสหราชอาณาจักร มีพื้นที่ครอบคลุมช่องแคบฟลอริดา หมู่เกาะบาฮามาส และหมู่เกาะแคริบเบียนทั้งหมด แต่แนวคิดที่เป็นที่รู้จักกันแพร่หลายกว่า เนื่องจากปรากฏในงานเขียนจำนวนมาก ระบุว่า จุดปลายสุดของสามเหลี่ยมเบอร์มิวดา ได้แก่ ชายฝั่งแอตแลนติกของไมอามี, ซานฮวน เปอร์โตริโก, และเกาะเบอร์มิวดา ด้วยเหตุว่าอุบัติเหตุส่วนใหญ่เกิดขึ้นตามแนวชายฝั่งด้านใต้โดยรอบหมู่เกาะบาฮามาสและช่องแคบฟลอริดา
พื้นที่ดังกล่าวเป็นหนึ่งในเส้นทางเดินเรือพาณิชย์ที่หนาแน่นที่สุดในโลก โดยมีเรือผ่านพื้นที่นี้เป็นประจำทุกวันมุ่งหน้าไปยังเมืองท่าในทวีปอเมริกา ทวีปยุโรป และหมู่เกาะแคริบเบียน เรือสำราญที่ผ่านพื้นที่นี้ก็มีมากเช่นกัน เรือเที่ยวเองก็มักจะมุ่งหน้าไปและกลับระหว่างฟลอริดากับแคริบเบียนอยู่เป็นปกติ นอกจากนี้ ยังเป็นพื้นที่ซึ่งมีการสัญจรทางอากาศอย่างหนาแน่น ทั้งอากาศยานพาณิชย์และส่วนตัว ซึ่งมุ่งหน้าไปยังฟลอริดา แคริบเบียน และทวีปอเมริกาใต้


ที่มา
การกล่าวอ้างถึงการหายสาบสูญอย่างผิดปกติในพื้นที่เบอร์มิวดาปรากฏในวันที่ 16 กันยายน ค.ศ. 1950 ในบทความของแอสโซซิเอด เพลส โดยเอ็ดเวิร์ด ฟาน วินเคิล โจนส์[2] อีกสองปีต่อมา นิตยสารเฟท ได้ตีพิมพ์ "ความลึกลับที่ประตูหลังของเรา"[3] บทความสั้นโดย จอร์จ แอกซ์. แซนด์ ซึ่งครอบคลุมเครื่องบินและเรือจำนวนมากที่หายสาบสูญไป รวมไปถึงการหายสาบสูญของฝูงบิน 19 ฝูงบินกองทัพเรือสหรัฐซึ่งประกอบด้วยเครื่องบินทิ้งระเบิดทีบีเอ็ม อแวงเกอร์ห้าลำ ซึ่งอยู่ในระหว่างการฝึกบิน บทความของแซนด์ได้เป็นงานเขียนแรก ๆ ซึ่งทำให้เกิดเป็นแนวคิดอันเป็นที่รู้จักกันดีของพื้นที่สามเหลี่ยมเบอร์มิวดา อันเป็นสถานที่ที่เกิดการหายสาบสูญอย่างหาสาเหตุไม่ได้ การหายสาบสูญของฝูงบิน 19 ได้ปรากฏในนิตยสารอเมริกันลีเจียน ฉบับประจำเดือนเมษายน ค.ศ. 1962[4] โดยกล่าวอ้างว่าผู้บังคับฝูงบินได้กล่าวว่า "เรากำลังเข้าสู่เขตน้ำขาว ไม่มีอะไรดูปกติเลย เราไม่รู้ว่าเราอยู่ที่ไหน น้ำทะเลเป็นสีเขียว ไม่ใช่สีขาว" นอกจากนี้ ยังได้มีการกล่าวอ้างว่าเจ้าหน้าที่คณะกรรมการสืบสวนของกองทัพเรือยังได้ระบุว่าเครื่องบินทั้งหมดได้ "บินสู่ดาวอังคาร" บทความของแซนด์เป็นงานเขียนชิ้นแรกซึ่งเสนอว่ามีปัจจัยเหนือธรรมชาติที่มีผลต่อเหตุการณ์หายสาบสูญของฝูงบิน 19 ในนิตยสารอาร์กอสซี ฉบับประจำเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1964 บทความของวินเซนต์ เอช. แกดดิส "สามเหลี่ยมเบอร์มิวดาร้ายกาจ" ซึ่งโต้แย้งว่าฝูงบิน 19 และการหายสาบสูญไปอื่น ๆ เป็นส่วนหนึ่งของรูปแบบของเหตุการณ์ประหลาด ๆ ที่เกิดขึ้นในพื้นที่[5] ในปีต่อมา แกดดิสได้ขยายบทความของเขาไปเป็นหนังสือ ชื่อว่า อินวิสซิเบิลฮอไรซอนส์ (Invisible Horizons) [6]
ถัดมาในปี ค.ศ. 1969 นายวอลเลซ สเปนเซอร์ ได้เขียนหนังสือว่าด้วยสามเหลี่ยมปริศนานี้โดยเฉพาะออกจำหน่ายในชื่อว่า ลิมโบออฟเดอะลอสต์ (Limbo of the Lost) ถัดจากนั้น ก็มีหนังสือออกจำหน่ายตามมาอีกมากมายเกี่ยวกับความลึกลับของสามเหลี่ยมเบอร์มิวดา ซึ่งก็มียอดจำหน่ายดีแทบทุกเล่ม ที่มีชื่อเสียงเป็นพิเศษคือบทความที่มีชื่อว่า เดอะเดวิลส์ไทรแองเกิล (The Devil's Triangle) ตีพิมพ์เมื่อ ค.ศ. 1974 ซึ่งเป็นเนื้อหาสำหรับคนที่ชื่นชอบความลึกลับเกี่ยวกับสามเหลี่ยมเบอร์มิวดาเป็นอันมาก หนังสือแทบทุกเล่มมุ่งประเด็นไปยังมุมมองที่ว่า เบื้องหลังของการสูญหายนี้เกิดจากเทคโนโลยีของสิ่งทรงภูมิปัญญามากกว่าประเด็นอื่น เช่นมนุษย์ต่างดาวหรือมนุษย์ที่อาศัยอยู่ใต้มหาสมุทรบริเวณนั้น ต่างก็หาหลักฐานและทฤษฎีมาถกเถียงกัน และบริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวดามีอาณาบริเวณที่กว้างมาก ตั้งแต่ ฟลอริด้า-เปอร์โตริโก-เกาะเบอร์มิวดา กินพื้นที่ประมาณ 4.4 แสนตารางไมล์ เพราะฉะนั้นการค้นหาเพื่อพิสูจน์ในสามเหลี่ยมเบอร์มิวดาจึงไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็มีองค์กรของรัฐและเอกชนต่างให้ความสนใจในการสำรวจ โดยหวังว่าจะเจอหลักฐานอะไรก็ตามที่นำมาใช้ไขปริศนาของดินแดนบริเวณนี้ได้
จนกระทั่งต่อมาในปี พ.ศ. 2553 โจเซฟ โมนาแกน ได้เสนอว่า สาเหตุที่เรือจมและเครื่องบินตก เกิดจากแก๊สมีเทนที่ก่อตัวขึ้น โดยแก๊สดังกล่าวอยู่ใต้ท้องทะเลในบริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวดา โดยเมื่อแก๊สเหล่านี้ขึ้นสู่พื้นผิว มันจะทะยานสู่อากาศ และขยายตัวเป็นวงกว้างและก่อตัวเป็นฟองแก๊สขนาดใหญ่ เมื่อเรือลำใดผ่านเข้าไปในบริเวณนั้น ก็จะเข้าไปสู่ฟองแก๊สมีเทนขนาดยักษ์ จนทำให้เรือเหล่านี้สูญเสียการควบคุม และจมลงในที่สุด [7]


 TAYLOR  SWIFT




   ผลงานล่าสุด ปี 2012


             
  • เทย์เลอร์ สวิฟต์ ได้พากย์เสียงในภาพยนตร์อนิเมชั่นเรื่อง The Lorax โดยพากย์เสียงเป็น "ออดี้" คู่กับ แซ็ค แอฟรอน
  • เทย์เลอร์ ได้ขับร้องเพลงประกอบภาพยนตร์ The Hunger Games ซึ่งอยู่ในอัลบั้ม "The Hunger Games Song From Distric 12 and Beyond" เทย์เลอร์ได้ร้องเพลงในอัลบั้มนี้ 2 เพลง คือ "Safe & Sound" ซึ่งเพลงนี้ถือเป็นเพลงแนวเพลงที่เธอยังไม่เคยร้องมาก่อน และ "Eyes Open"
  • สวิฟท์กำลังทำงานอยู่ในอัลบั้มที่สี่ของเธอกับโปรดิวเซอร์นาธานแชปแมน มีกำหนดการออกในฤดูใบไม้ร่วง ปี 2012 เพลงทั้งหมด 25 เพลงได้เสร็จแล้ว แต่ เทย์เลอร์มุ่งมั่นที่จะเขียนเพลง และ อัดเสียงตลอดทั้งปี 2012
  • สวิพท์ได้ร้องเพลงร่วมกับนักร้องฮิฟฮอฟชื่อดัง "B.O.B" ในเพลง "Both of us" ซึ่งเพลงนี้อยู๋ในอัลบั้ม "Stanger Clouds"
  • ในวันที่ 13 สิงหาคม 2555 สวิพท์ได้ประกาศลงในแฟนเพจของเธอว่าเธอจะมีการแชทกับแฟนคลับของเธอโดยทุกคนสามารถถามสิ่งที่อยากรู้กับเธอได้ หลังจากการแชทเสร็จสิ้นสวิพท์ได้เซอร์ไพร์แฟนเพลงโดยการเปิดตัวเพลงที่มีชื่อว่า "We are never ever getting back together" ซึ่งเป็นเพลงโปรโมทจากอัลบั้มที่ 4 ของเธอ โดยอัลบั้มมีชื่อว่า "RED" ซึ่งจะวางแผงทั่วโลกในวันที่ 22 ตุลาคม ซึ่งหลังจากที่เพลนี้เปิดตัวไป 3 ชั่วโมง เพลงของเธอได้ทำลายสถิติซึ่งสามารถขึ้นอันดับ 1 บนชารต์ดาวน์โหลดเพลง iTune ซึ่งสถิติที่ทำไว้สูงสุดคือ Lady Gaga กับเพลง Born This Way และหลังจากนั้นได้ไม่นานเพลงของเธอเปิดตัวบนชารต์ Billborad ที่อันดับ 72 ล่าสุดทางชารต์เพลงนี้ได้ประกาศอย่างเป็นทางการแล้วว่าซิงเกิลใหม่ของสวิฟท์ได้ขึ้นอันดับ 1 ในชารต์เป็นที่เรียบร้อยแล้วซึ่งนับเป็นเพลงแรกของเธอเลยที่สามารถขึ้นอันดับ 1 ได้ โดยอาทิตย์แรกที่เปิดตัวเพลงของเธอมียอดดาวน์โหลดสูงถึง 630,000 ยูนิต
  • ในอัลบั้ม RED สวิฟท์ได้ร่วมงานกับศิลปินและนักแต่งเพลงชื่อดังอย่าง "Ed Sheeran" ในเพลง "Everything has change"